ภาพยนตร์เรื่อง THE DARKEST HOUR เป็นเรื่องราวของมนุษย์ 5 คนที่พบว่าตัวเองติดกับอยู่ในมอสโคว์ พวกเขาต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากเอเลี่ยนที่เข้าโจมตีอย่างรุนแรง ความน่าตื่นเต้นที่โดดเด่นในนรูปแบบ 3 มิติของความงามกรุงมอสโคว์แบบคลาสสิค พร้อมด้วยสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ที่น่าตื่นเต้นจากจินตนาการของผู้สร้างภาพยนตร์ ทีเมอร์ เบ็คแมมบิทอฟ (Wanted, Night Watch) และผู้กำกับคริส โกแร็ค (Right At Your Door) เข้าฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ทั้งในระบบ 3D Digital , ระบบปกติ และในระบบ 4DX ที่พารากอน เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มกราคมจนถึงวันที่ 19 มกราคม อาทิตย์เดียวเท่านั้น
The Darkest Hour กำกับการแสดงโดยผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง คริส โกแร็ค ที่ทุกทีนั้นเขาจะถนัดแต่ด้านของการเป็นผู้กำกับศิลป์ให้กับหนังดังๆหลายเรื่องมากกว่า แต่เมื่อปี 2006 เขากลับคิดอยากจะผันตัวมาเป็นผู้กำกับ โดยเริ่มด้วยหนังดราม่า ทริลเลอร์ อย่าง Right At Your Door ที่คำวิจารณ์ก็ออกมาเป็นกลางๆ และกลับมาในปีนี้ เขาจึงคิดอยากจะกำกับหนังอีกครั้ง โดยครั้งนี้หยิบเอาบทของ จอน สเปทส์ ที่สร้างขึ้นจากเรื่องของเลสลี่ โฐเฮ็ม และ เอ็ม.ที. เอเฮิร์น มาใช้ และ กลายเป็นหนังเรื่องนี้ในที่สุด โดยถ้าให้พูดตรงๆเลยคือ เหตุผล 2-3 ข้อที่ทำให้ผมอยู่ดูหนังเรื่องนี้จนจบโดยไม่ลุกออกจากโรงไปก่อนนั้น ข้อแรก คือ นางเอกหน้าใหม่อย่าง โอลิเวีย เธิร์ลบี้ ที่ทุกทีนั้นจะได้แสดงเป็นแค่เพื่อนนางเอกในหลายๆเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น No String Attached
แต่เมื่อเธอได้มารับบทเป็นนางเอกเต็มตัวในหนังเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าการแสดงนั้นจะยังไม่เท่าไหร่ แต่หน้าตา ดูมีราศีมาก และคงจะมีงานเข้ามาอีกเรื่อยๆแน่ๆ , ส่วนด้านของข้อสองนั้นคือ ฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้ ที่ฉากเปิดตัวของหนังนั้นต้องขอชมว่าสามารถดีไซน์ให้เข้ากับเพลงประกอบโดย ไทเลอร์ เบทส์ ได้ค่อนข้างดี และ มันส์มาก แถมการที่หนังเล่นไม่ปูบทตัวละคร และ รีบเร่งเข้าเนื้อเรื่องเอเลี่ยนบุกโลกตั้งแต่ 10 นาทีแรกถือว่าผู้กำกับนั้นกล้า และ บ้ามากพอสมควร แต่ก็นั้นแหละ ที่เป็นแค่ข้อดี 2-3 ที่ทำให้ผมดูหนังจนจบ เพราะหลังจาก 20 นาทีแรกของฉากแอ็คชั่นหนังแล้ว ที่เหลือนั้นหนังจึงอุดมไปด้วยความน่าเบื่อ และ ความน่ารำคาญมากกว่าเพราะฉากแอ็คชั่นในช่วงหลังนั้น เทียบแทบไม่ติดกับช่วงแรกเลยสักนิดเดียวเลยหละครับ
และสิ่งแรกที่ดูแล้วน่ารำคาญที่สุดในหนังเรื่องนี้เลยคือ ด้านของบทหนัง ที่มีช่องโหว่ค่อนข้างมาก เริ่มตั้งแต่ เอเลี่ยน ที่ในฉากแรกของหนังนั้นปูบทมาอย่างดีว่าเอเลี่ยนเข้ามายึดครองโลก และ โชว์ให้เห็นถึงการมาของเอเลี่ยนนับร้อยตัว แต่หลังจากนั้นเพียง 5 วัน หนังกลับตัดบทร้อยกว่าตัวนั้นออกไป และเล่นนำเอาเอเลี่ยนมาสู้กับพวกตัวเอกแค่ทีละ 1-2 ตัวเท่านั้น แถมหนังยังไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพของเอเลี่ยน ที่มีทักษะการล่องหน ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย รวมไปถึงด้านของ CG ในหนังเรื่องนี้ ที่เต็มไปด้วยฉากที่คิดในใจว่า ‘นี้มันหนังเกรดเอ หรือ เกรดบีกันแน่’ เพราะเมื่อหนังโชว์ให้เห็นถึงเอเลี่ยนตัวจริงๆแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงภาพเหล่าหนังเกรดบีของค่าย Asylum เลยทีเดียว (ค่ายเดียวกับที่สร้าง Transmorphers หนังที่ลอกเลียนแบบ Transformers)
พร้อมกับด้านของตัวละครในหนังเรื่องนี้ ที่เล่นเดินตามบทหนังเชยๆของฮอลลีวู้ดเป๊ะๆ ที่จะมีทั้งตัวละครที่พยายามทำเป็นฮีโร่ , ตัวละครที่ปูบทให้ดูเหมือนเป็นตัวละครที่คนดูต้องเอาใจช่วยมากที่สุด และเหล่าตัวละครที่ทำตัวน่ารำคาญ และ โง่เขลา ทั้งหลาย ที่ไม่ต่างกับพวกเหล่าตัวละครเด็กวัยรุ่นที่ชอบเดินไปให้ฆาตรกรเชือดในหนังสยองขวัญของฮอลลีวู้ดหลายๆเรื่อง แถมยังเต็มไปด้วยบทพูดของหนังที่พยายามจะพูดให้มันดูเท่ และ พยายามให้คนดูสะใจกับการฆ่าเอเลี่ยนได้ ทั้งที่ผู้กำกับหารู้ไม่ว่า บทพูดเหล่านั้น มันทั้งดูเชย และ ตลก มากกว่าจะสะใจ และส่วนสุดท้ายนั้น ผมไม่ได้ดูเรื่องนี้ในระบบ 3D เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้ว่ามีมิติมากแค่ไหน แต่ที่รู้อย่างเดียวคือ 80% ในหนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยฉากมืด เพราะฉะนั้นระบบ 3D จะเห็นเป็นมิติรึปล่าวก็ไปลองกันได้ครับ