ถ้าหากพูดถึง สาวรอยสักมังกร แล้ว ต้องยอมรับเลยว่าผมติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่เวอร์ชั่นของ หนังสือ และตามด้วยเวอร์ชั่นหนังสวีเดน และท้ายสุดคือเวอร์ชั่นหนังฮอลลีวู้ด ที่ตัวผมเองนั้นค่อนข้างตั้งความหวังไว้มากเพราะชื่อผุ้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งตัวหนังจะสู้ของสวีเดนได้หรือไม่ ไปอ่านกันเลยครับ
ภายในวังวนของฆาตกรรมลวง การคอร์รัปชัน ความลับของครอบครัวและปีศาจภายในใจของคู่หูที่ตามไล่ล่าหาความจริงของปริศนาเก่าแก่ 40 ปี มิคาเอล บลอมค์วิสต์ (แดเนียล เคร็ก) เป็นผู้สื่อข่าวสายการเงิน ที่มุ่งมั่นจะล้างมลทินให้กับตัวเองหลังจากถูกกล่าวหาในข้อหาหมิ่นประมาท เขาได้รับการจ้างวานจากเฮนริค แวนเกอร์ (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) หนึ่งในนักอุตสาหกรรมผู้ร่ำรวยที่สุดของสวีเดน ให้ล้วงลึกถึงข้อเท็จจริงของการหายตัวไปของแฮร์เรียต หลานสาวสุดที่รักของเขา เมื่อนานมาแล้ว และเขาก็เชื่อว่าเธอถูกสังหารไปแล้วโดยฝีมือของสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่ลึกลับของเขา
The Girl With The Dragon Tattoo เวอร์ชั่นรีเมคนี้กำกับการแสดงโดย เดวิด ฟินเชอร์ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของผู้กำกับหนังสุดคัลท์ และ ยอดเยี่ยม มากมายไม่ว่าจะเป็น Fight Club , Se7en หรือแม้แต่สุดยอดหนังเฟซบุคเมื่อปีที่แล้วอย่าง The Social Network ที่มาในปีนี้ เขากลับมาพร้อมกับไอเดียที่คิดจะรีเมคหนังสืบสวนที่สุดมืดม่นที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมากับ สาวรอยสักมังกร เรื่องนี้ ที่ตัวผมนั้นเคยได้ดูเวอร์ชั่น สวีเดน มาก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นจึงอาจจะมีบางข้อที่ผมขอเอาไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นสวีเดนบ้าง เพราะฉะนั้นการรีวิวครั้งนี้ ผมจึงขอเริ่มอวยหนังเรื่องนี้เลยละกัน โดยสิ่งแรกที่อยากจะขอชมการกำกับเรื่องใหม่ของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ เรื่องนี้คือด้านอารมณ์และโทนหนังในเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ด ที่ The Girl With The Dragon Tattoo เวอร์ชั่นสวีเดน
ที่หลายคนบอกว่าอารมณ์มืดม่นๆ ดาร์คๆ กันนั้น โดยส่วนตัวผมดูแล้วยังมีอารมณ์เฉยๆอยู่บ้าง แต่สำหรับในเวอร์ชั่น ฮอลลีวู้ด ตัวใหม่นี้ ต้องขอปรบมือให้กับสไตล์การกำกับของ ฟินเชอร์ เลยที่สามารถละเลงอารมณ์หนังแนวสืบสวน ที่มืดม่น และ วิปริต แต่สามารถทำออกมาได้ในรูปแบบที่สวยงาม และ แนว ได้อย่างมีสีสัน โดยสำหรับใครที่นึกความมืดม่นเหล่านี้ไม่ออกก็ลองย้อนไปนึกถึงอารมณ์ของผลงานเก่าอย่าง Se7en ซึ่งอารมณ์นั้นจะออกแนวคล้ายๆกัน พร้อมกับด้านของอารมณ์ความน่าติดตามของหนังเวอร์ชั่นนี้ ที่ก็เป็นอีกข้อดีในเวอร์ชั่นนี้ที่ดีกว่าสวีเดนอย่างมาก เพราะว่าเวอร์ชั่นนี้มีสไตล์การปูบทหนัง
ที่สามารถไล่อารมณ์ความน่าสนใจในตัวรูปคดีของหนังในช่วงแรกนั้นได้น่าสนใจ และ สามารถตรึงอารมณ์คนดูได้อยู่หมัด ต่างกับเวอร์ชั่นสวีเดนที่จะเริ่มไล่ความน่าสนใจของคดีตอนช่วงกลางเรื่อง แถมที่ต้องขอชมเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ด อีกคือ การที่ เดวิด ฟินเชอร์ นั้นสามารถสอดแทรกอารมณ์ความกดดัน เข้ามาในการสืบสวนครั้งนี้ได้อย่างลงตัว และ สามารถทำเอาอารมณ์ความกดดันเหล่านี้ ไปเป็นควันหลงให้คนดูในตอนจบของหนัง ที่ทำออกมาได้โดนใจคนดูมากกว่าเวอร์ชั่นสวีเดนเสียอีก (หรือเรียกง่ายๆคือ หนังจบ แต่ อารมณ์คนดูไม่จบ) และเมื่อพูดถึงด้านการแสดงของ สาวมังกร ในเวอร์ชั่นนี้
ก็ต้องขอชม รูนี่ย์ มาร่า ที่สามารถถ่ายทอดตัวละคร ลิธเบธ ในเวอร์ชั่นแบบคนละบุคลิกกับเวอร์ชั่น สวีเดน เลยก็ว่าได้ เพราะในเวอร์ชั่น ฮอลลีวู้ด นั้น ตัวละคร สาวมังกร นั้นดูแล้วมีความอ่อนโยน แถมสามารถจับต้องได้มากกว่า สวีเดน ถึงแม้ว่าบุคลิกทั้งหลายอาจจะยังไม่ได้ดูเถื่อนๆ หรือ ดาร์คๆ เท่ากับเวอร์ชั่นของ นูมิ ราเพซ ที่เคยแสดงไว้ก็ตามที ส่วนนักแสดงคนอื่นนอกจากตัวละครสาวมังกรที่อยากจะอวยมากที่สุดคงหนีไม่พ้น คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ที่มาในบทบาทของ เฮนริค วังเกอร์ ที่ในเรื่องนี้ปู่แกก็ยังจัดเต็มกับด้านการแสดง และ ถ่ายทอดบทความน่าสงสารของตัวละครนี้ได้เช่นเคย ผิดกับด้านของตัวละครเอกอย่าง เดเนียล เคร็ก ที่เป็นตัวละครเดียวในเรื่องนี้ที่ผมรู้สึกว่าชอบ มิเกล บลอมค์วิสต์ เวอร์ชั่นสวีเดนมากกว่าเวอร์ชั่นนี้เพราะในหลายๆบุคลิกที่เวอร์ชั่นเก่าทำไว้ดีกว่า
และส่วนที่เรียกได้ว่าเสริมสร้างหนังในเวอร์ชั่นได้สมบูรณ์ที่สุดคงหนีไม่พ้นด้านของ เพลงประกอบ หนังที่แต่งโดย Trent Reznor ที่สามารถสร้างอารมณ์และบรรยากาศความมืดม่นในการสืบคดีครั้งนี้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะในด้านฉากเปิดตัวของหนังที่เรียกได้ว่าเป็นฉากเปิดตัวหนังที่ผมคิดว่าแนวที่สุดของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ เลยก็ว่าได้ และสุดท้ายที่อยากจะอวยหนังเรื่องนี้นั้นคือด้านของ อารมณ์ความรุนแรง และ ฉากโป๊ ในหนังเรื่องนี้ที่เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกด้าน มากกว่าเวอร์ชั่น สวีเดน อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากจะให้พูดว่ามีส่วนไหนในเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ด ที่ดูแล้วยังไม่ค่อยโดนใจบ้างนั้น
ก็ต้องตอบว่า สิ่งที่ไม่ชอบสิ่งใหญ่ๆในเวอร์ชั่นนี้อย่างเดียวเลยคือ ในช่วงแรกของหนังนั้นมีการตัดต่อสลับระหว่าง พระเอก และ สาวมังกร ในอารมณ์แบบ ฉากต่อฉาก มากเกินไปหน่อย (ซึ่งในช่วงหลังนั้นหนังสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างเยอะและดีมากทีเดียว) แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่ชื่นชอบหนังแนวสืบสวน และ ชื่นชอบผลงานเก่าๆของ เดวิด ฟินเชอร์ อยู่เป็นทุนเดิมแล้วนั้น หรือแม้แต่ชอบ The Girl With The Dragon Tattoo เวอร์ชั่นสวีเดนนั้น สำหรับเวอร์ชั่นนี้ผมก็ขอเป็นหน้าม้าให้กับหนังเลยละกัน เพราะว่าหนังสามารถจัดเต็มทั้งด้านอารมณ์ความมืดม่น และ กดดัน ได้อย่างดีเยี่ยมอย่างที่คาดหวัง