ในปี 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เปิดฉากขึ้น ฝ่ายสัมพันธมิตรอย่าง ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี ร่วมมือกันสู้กับเยอรมนี พี่น้องร่วมโลกตายเป็นเบือ แต่อเมริกากลับนิ่งเฉย ทว่าหนุ่มเลือดร้อนอเมริกันบางคนไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาเลือกที่จะเป็นนักบินรบหน่วยแรกของโลก ลาฟาแยต เอสกาดริลล์ สังกัดกองกำลังฝรั่งเศส
พวกเขามาจากสถานที่และสถานะที่หลากหลายอย่าง เบลน รอว์ลิ่งส์ (เจมส์ ฟรังโก้) เด็กกำพร้าชาวเท็กซัส ที่เก็บงำทุกอย่างไว้ในใจเสมอ เด็กหนุ่มในตระกูลมั่งคั่งที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง (ไทเลอร์ บาไลน์) หรือลูกของอดีตทาสที่กำลังผจญกับเรื่องเหยียดเชื้อชาติ (อัลดุล ซาลิส) ทุกคนได้รับการเคี่ยวเข้มจากแคสซิดี้ (มาร์ติน เฮนเดอร์สัน) บุรุษลึกลับที่พูดน้อยแต่ทำเยอะ
ระหว่างการรบอย่างหนักหน่วงที่ไม่มีใครรู้เลยว่าจะรอดชีวิตกลับมาหรือไม่ เบลน พบรักกับหญิงสาวชาวฝรั่งเศสอย่าง ลูเซียน (เจนนิเฟอร์ เด็กเกอร์) ลูเซียนพูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย แต่ทั้งคู่ก็พยายามสื่อสารด้วยภาษารัก และพลังของความรักนี่เองเป็นกำลังให้เบลนสู้ต่อไป เพื่อปกป้องประเทศของผู้หญิงที่เขารัก
Flyboys เป็นหนังที่สร้างจากแรงบันดาลใจของเรื่องจริง เป็นหนังสงครามอีกเรื่องที่มีพล็อตแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ภาพของเครื่องบินรบทั้งแบบปีก 2 ชั้นและปีก 3 ชั้น เห็นชัดในหลายฉากเลยว่า ใช้โมเดลทำแบบเห็นๆ
ทั้งที่หนังแนวนี้ถ้าตั้งใจทำให้เนียนและเขียนบทดีๆ แล้วนั้น จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าดูไม่น้อยทีเดียว
ขณะที่ฉากต่อสู้ซึ่งเป็นจุดขายของเรื่องนี้ ต้องบอกว่าทำออกมาตื่นเต้นใช้ได้ ดูๆ ไปก็มีเผลอโยกตัวตามลักษณะการบินของเครื่องเหมือนกัน ทว่าส่วนที่ดีที่สุดของหนัง กลับเป็นฉากโรแมนติคระหว่างเบลนกับลูเซียน ที่สื่อสารกันลำบากซะเหลือเกิน แต่ก็น่ารักจนต้องอดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้
ถึงพล็อตจะซ้ำ แต่ Flyboys ก็ให้อะไรดีๆ เหมือนกัน อย่างน้อยก็ช่วยสะกิดใจขึ้นมาว่า สงครามเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมโลกมาแสนนาน จนกลายเป็นบทหนึ่งที่จารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
ทั้งๆ ที่ทุกคนก็รู้ว่าสงครามไม่ได้ให้อะไรที่ดีๆ เลย นอกจากความสูญเสียและการพลัดพราก แต่เราก็ยังมีสงครามกันอยู่เรื่อยๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง มีกันไปทำไม